วันนี้ (6 ธันวาคม 2561) ที่ห้องจูปิเตอร์ 4-6 อิมแพค เมืองทองธานี มีการจัดงานเสวนาพลังงานทางเลือก 4.0 ในหัวข้อ “คนไทย ควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง?” จัดโดยมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย (AEITF) บริษัทสื่อสากล จำกัด และพันธมิตรเครือข่าย และมีพิธีเปิดงานโดยนายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คนที่ 1


นายอลงกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ยุทธศาสตร์ยานยนต์ไฟฟ้าไทย” ว่า ยานยนต์ไฟฟ้าถือเป็นเมกะเทรนด์ (Maga Trend) สำหรับการพัฒนาด้านยานยนต์นั้นประเทศต่างๆ มีการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์มาเป็นเวลาร้อยกว่าปี เริ่มมีเทรนด์ของโลก เทรนด์ที่ 1 คือ การที่มีประสิทธิภาพในการใช้เชื้อเพลิงน้อยที่สุดและสะอาดที่สุด เทรนด์ที่ 2 คือ ยานยนต์จากนี้ไปจะมีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาเพิ่มมากขึ้น เป็นเรื่องของ IT ทั้งที่เกี่ยวข้องกับระบบปลอดภัย ซึ่งคือ 2 เมกะเทรนด์ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกโดยทั่วไป
ทั้งนี้ไทม์ไลน์ของประเทศในอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นที่น่าสนใจมาก และหลายประเทศมีนโยบายชัดเจนว่า จะต้องใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นยานยนต์หลักในปีไหน โดยจะไม่มีการส่งเสริมในการใช้เครื่องยนต์ไอซีอีกต่อไป อย่างประเทศเยอรมนีจะเลิกใช้เครื่องยนต์ดีเซล หรือเบนซินภายในปี 2030 คือในอีก12 ปีข้างหน้าเครื่องยนต์ไอซีก็จะกลายเป็นแบบระบบไดอะล็อก
อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น บริษัท TESLA MOTORS ซึ่งมีเป้าหมายในการผลิตถึงสองล้านคัน ในปี 2020 ยี่ห้อ Volvo, Nissan ผลิตรถอีวี 1.5 ล้านคันในปี 2020 และ Honda ผลิตจำนวน 1 ล้านคันในปี 2030 ในประเทศจีนนั้นมีทั้งรถในแบรนด์ของตัวเอง และรถ OMD รวมกันแล้วก็ประมาณ 4.5 ล้านคันในปี 2020 ซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ เหมือนที่เป็นเทรนด์ Disruption หรือการปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 4 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ แล้วประเทศไทยจะวางอนาคตของตนเองในการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในเชิงของยุทธศาสตร์ โดยรัฐบาลได้เริ่มนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่แห่งอนาคต โดยยานยนต์ไฟฟ้าจะเน้นที่แบตเตอรี่และมอเตอร์ จึงถือเป็นโอกาสของประเทศไทยที่เราสามารถแข่งขันได้
“สำหรับยุทธศาสตร์ด้านรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่ต้องเร่งให้เกิดขึ้น ขับเคลื่อนให้มีความชัดเจน มิฉะนั้นไทยจะสูญเสียโอกาส ตกขบวน และตกเทรนด์ ตอนนี้จึงถึงเวลาที่ภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีการตัดสินใจเหมือนในช่วงที่ไทยมีการเปลี่ยนจากการใช้ E20 เป็น E85 ซึ่งวันนี้เวียดนามเปลี่ยนแปลงยานยนต์ไฟฟ้าเร็วมาก เจ้าตลาดโลกอาจจะกลายมาเป็นของคนเอเชีย เพราะวันนี้จีนก้าวมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่ยุโรปไม่มีโรงงานแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทั้งที่เป็นต้นทุน50%ของรถอีวี ทุกอย่างจึงเกิดขึ้นได้ที่เอเชีย”
ทั้งนี้ จึงต้องพิจารณาว่าทำอย่างไรให้ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งในส่วนนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการใช้มาตรการ แม้ไทยไม่ใช้เงินอุดหนุน แต่อาจใช้มาตรการในเรื่องของภาษี หรือการลดค่าไฟ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้ผลิตรถยนต์ของตัวเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการปรับตัวให้เร็วมาก ดังนั้นเราต้องมีเป้าหมายใหม่ในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่รัฐบาลต้องวางนโยบายที่ชัดเจนในระยะ 5 ปี มากกว่าไปมุ่งในระยะยาว 20 ปี และควรจะมีจุดเปลี่ยนที่ต้องตัดสินใจและให้คนไทยได้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในราคาถูก
นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยกล่าวว่า มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตรเครือข่ายได้แก่ บริษัท สื่อสากล จำกัด สถาบันยานยนต์ และสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าได้จัดร่วมกันงานเสวนา “คนไทย ควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง?” ขึ้น ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล แผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558-2579 ของกระทรวงพลังงาน และการขับเคลื่อนพัฒนา “เมืองอัจฉริยะ” Smart City ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมูลนิธิ หน่วยงานพันธมิตรได้ตระหนักถึงความสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค เพื่อให้ได้รับทราบถึงความพร้อม แนวทางการพัฒนาของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่จะเป็นประโยชน์ สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจการพาณิชย์ จึงได้ดำเนินแผนงาน “สร้างความพร้อมคนไทย เพื่อศักยภาพการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า” โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาแลกเปลี่ยนนโยบาย ความรู้ทางวิชาการของภาครัฐและเอกชน
นอกจากนั้นเพื่อเป็นเวทีกลางเชื่อมโยงความร่วมมือภาครัฐ องค์กรธุรกิจ ผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้บริโภค และเผยแพร่วิชาการที่เป็นประโยชน์สร้างมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจและการพาณิชย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความพร้อมให้คนไทยรับทราบข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ครบถ้วน เพื่อเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในบ้านและอุตสาหกรรมขนส่งโลจิสติกส์ของไทย และเพื่อสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์พลังงานเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ลดค่าใช้จ่ายครัวเรือน ลดต้นทุนการผลิตและบริการ ลดการเสียดุลการค้า และเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนการลดการปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดยมูลนิธิมีการจัดกิจกรรมสำคัญๆ ตามแผนงาน “สร้างความพร้อมคนไทย เพื่อศักยภาพการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า” อาทิ การจัดเสวนาเรื่อง “คนไทย ควรซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง”, การจัดแสดงนิทรรศการ “นวัตกรรมพลังงานทางเลือกไทย” ในงาน “มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 35” ณ อาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตลอดจนการสร้างความร่วมมือและพันธมิตรเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน การพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงหน่วยงานภาครัฐ องค์กร และเอกชนอย่างต่อเนื่อง
ผศ.ดร.ยศพงษ์ ลออนวล นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยกล่าวว่า ปัจจุบันเริ่มมีรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า 100 % (BEV) จำหน่ายในตลาดมากขึ้น โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จำนวนรถยนต์ PHEV เพิ่มมากขึ้นกว่า 10,000 คัน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า 100% เพิ่งเริ่มจะมีบางยี่ห้อนำออกมาจำหน่ายในปีนี้ นอกจากนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีการเตรียมความพร้อมเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในการติดตั้งสถานอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะ ณ ปัจจุบันมีมากกว่า 200 จุดทั่วประเทศ
ด้วยเทคโนโลยีใหม่และราคาแบตเตอรี่ที่ยังสูง ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่าช่วงเริ่มต้นนี้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถยนต์เครื่องยนต์ เกือบ 1.5-2 เท่า แต่รถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายของพลังงานที่ต่ำกว่า หากเปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายของพลังงานอยู่ที่ 0.5-1.0 บาท /กม. ต่ำกว่ารถยนต์เครื่องยนต์หรือไฮบริด ที่มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.5-2.5 บาท/กม. ดังนั้นในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า คนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ และมีกำลังทรัพย์พอ และอาจจะเป็นรถยนต์คันที่สองหรือรถสำรอง และอาศัยในเมืองที่มีการเดินทางไม่เกินวันละ 100 กม.ต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอันใกล้ 2-3 ปี เทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ดีขึ้นและราคาที่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง เราจะเห็นค่ายรถนำรถยนต์ไฟฟ้าออกมาจำหน่ายอีกหลายรุ่น ซึ่งจะเกิดการแข่งขันระหว่างค่ายรถด้วยกันมากขึ้น ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีทางเลือกในการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นและสามารถซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่เหมาะสม โดยทางสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยได้พยายามทำงานร่วมกับภาครัฐและเอกชนในการเตรียมความพร้อมเพื่อช่วยให้การเปลี่ยนแปลงการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าที่จะมีมากขึ้นในอนาคตให้เป็นไปอย่างราบรื่นและไร้รอยต่ออีกด้วย
ด้านนายธนพัชร์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังงานมหานคร จำกัด บริษัทให้บริการด้านสถานีชาร์จภายใต้แบรนด์ “EA Anywhere” ของบริษัท พลังงานมหานคร จำกัดในเครือ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นที่บริษัทมาทำเรื่องสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าตรงนี้ก็ศึกษามาแล้วว่า สิ่งที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีความกังวลมากที่สุดคือ สถานีเติมไฟในแบตเตอรี่หรือสถานีชาร์จ ทางบริษัท พลังงานมหานครฯ จึงมีแนวทางในการวางรูปแบบของสถานีชาร์จว่า จุดที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นจุดไหนบ้าง ตามนโยบายที่เราวางแผนไว้ตอนต้นปี 2561 และตั้งเป้าว่าจะติดตั้งให้ได้ 1,000 สถานีชาร์จภายในปีนี้
“สำหรับรูปแบบในการติดตั้งสถานีชาร์จนี้ เราเริ่มจากที่พักอาศัยก่อน ซึ่งเป็นจุดแรกที่คนใช้งานสะดวกที่สุด และเชื่อมโยงไปที่ตัวออฟฟิศหรือสำนักงาน รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส รวมไปโรงแรม ร้านอาหาร ช้อปปิ้งมอลล์ ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ และคอมมูนิตี้มอลล์ตามที่วางแผนไว้ กฌถือว่า สิ่งที่เราไปติดตั้งไว้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกจุดในประเทศไทย“
ตามแผนที่บริษัทวางไว้ทุกระยะ 5 กิโลเมตรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีสถานีชาร์จ ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คนใช้รถคลายกังวลในเรื่องไม่มีสถานีชาร์จ โดยในปัจจุบันบริษัท พลังงานมหานครฯ จึงติดตั้งไปแล้วกว่า 400 สถานี แต่ส่วนที่เปิดบริการแล้วประมาณ 200 สถานี ซึ่งผู้ใช้งานสามารถโหลดแอพพลิเคชั่น EA Anywhere มาใช้งานได้ เพื่อค้นหาสถานีชาร์จบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งจะช่วยนำทางไปยังสถานีที่เปิดใช้บริการ
ในมุมมองของนักลงทุนผู้ให้บริการสถานีชาร์จ สิ่งที่เราเตรียมความพร้อมไว้เป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นใจ หลายๆ อย่าง เช่นเดียวบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็มีเตรียมพร้อมเต็มที่ อย่างในงาน Motor Expo 2018 ก็มีรถทั้งปลั๊กอินไฮบริด และ BEV ออกมาโชว์และวางจำหน่าย ซึ่งมองว่า เป็นทางเลือกของคนไทยที่มองหานวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งบริษัทก็เตรียมความพร้อมในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลไม่ให้มีปัญหาเรื่องสถานีชาร์จ เพื่อคลายกังวลเรื่องไม่จุดเติมแบตเตอรี่ไปได้ ส่วนต่างจังหวัด “EA Anywhere” ก็เริ่มติดตั้งในภูมิภาคต่างๆ แล้วเช่นกัน