ปี 61 กลุ่มบางจากฯชูนวัตกรรมสีเขียวขับเคลื่อนธุรกิจ

บริษัท บางจากฯ และบริษัทในกลุ่มจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ในการขยายธุรกิจหลักและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และนวัตกรรมด้านพลังงานที่ทันสมัยมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ เตรียมพร้อมในทุกมิติ เพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจไทยในยุค 4.0 พร้อมกำหนดทิศทางกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถ มุ่งสู่กลุ่มบริษัทนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชียที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี

0
1335

“บางจากฯ” เผยแผนธุรกิจต่อเนื่อง 5 ปี ของบริษัทใหญ่และบริษัทในกลุ่ม ที่มุ่งเน้นสร้างเทคโนโลยีสีเขียวผ่านนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมธุรกิจหลัก ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ และธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติทั้งในและต่างประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความมั่นคงด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างศักยภาพสู่การลงทุนในโครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2561 และแผนงาน 5 ปีต่อเนื่องถึงปี 2565 ว่า บริษัท บางจากฯ และบริษัทในกลุ่มจะใช้งบลงทุนรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท ในการขยายธุรกิจหลักและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล และนวัตกรรมด้านพลังงานที่ทันสมัยมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจ เตรียมพร้อมในทุกมิติ เพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจไทยในยุค 4.0 พร้อมกำหนดทิศทางกลยุทธ์ในการเพิ่มขีดความสามารถ มุ่งสู่กลุ่มบริษัทนวัตกรรมสีเขียวชั้นนำในเอเชียที่มีบรรษัทภิบาลที่ดีและดำเนินธุรกิจด้วยแนวทางแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืน

โดยในด้านธุรกิจโรงกลั่น มีแผนดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่น โดยให้ความสำคัญในด้านการดูแลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยเป็นอันดับสูงสุดในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต และในปีนี้บริษัทบางจากฯ มีแผนจะหยุดซ่อมบำรุง 45 วันในเดือนเมษายน – มิถุนายน 2561

ด้านธุรกิจการตลาด จะสร้างระบบนิเวศน์สีเขียวและประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Eco System) เพิ่มความทันสมัยในทำเลยุทธศาสตร์ในรูปแบบ Greenovative Experience และจะนำระบบดิจิทัลมาใช้ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการ


นอกจากนี้ มีแผนขยายธุรกิจร้าน SPAR Supermarket รวมทั้งนำผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเกษตรกรไทยไปจำหน่ายในร้าน SPAR ในสาขาต่างประเทศเพื่อสร้างโอกาสเข้าสู่ตลาดโลกของสินค้าชุมชน ส่วนร้านกาแฟอินทนิลจะขยายสู่ตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพสูง ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านผลิตไฟฟ้า กล่าวว่า หลังจากบริษัทได้นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อปลายเดือนกันยายน ปี 2559 ได้รับความสนใจและเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มาร์เก็ตแคปของบริษัท ณ สิ้นปี 2560 สูงกว่า 46,000 ล้านบาท (มากกว่า 50,000 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากวันแรกของการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (มาร์เก็ตแคป 19,900 ล้านบาท) และในปี 2560 บริษัท บีซีพีจีฯ ใช้เงินลงทุนขยายธุรกิจไปประมาณ 15,000 ล้านบาท ทำให้ ณ สิ้นปี 2560 บริษัท บีซีพีจีฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามสัดส่วนถือหุ้นรวมอยู่ที่ประมาณ 600 เมกะวัตต์

สำหรับแผนการลงทุนของบีซีพีจีใน 3 ปีข้างหน้า ยังคงให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนราว 3 หมื่นล้านบาท เน้นลงทุนในโครงการที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 เพื่อรักษาอัตราการเติบโตของรายได้และ EBITDA ไม่ต่ำกว่าปีละร้อยละ 15-20 ซึ่งในปี 2561 บริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้อีก 200 เมกะวัตต์ จากสิ้นปี 2560 โดยวางแผนไว้ว่าจะมาจากกำลังการผลิตไฟฟ้าในส่วนที่เป็น Retail ผ่านธุรกิจโซลาร์รูฟท็อปในประเทศในรูปแบบต่างๆ จำนวน 30 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออีก 170 เมกะวัตต์จะมาจากธุรกิจรูปแบบปัจจุบันทั้งในและต่างประเทศ

ธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพจะพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีด้านชีวภาพเพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูง โดยนายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีบีจีไอ จำกัด กล่าวว่า บริษัท บางจากฯ ได้มีการควบรวมบริษัทระหว่าง บริษัท บีบีพี โฮลดิ้ง จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคเอสแอลจีไอ จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน)) เป็นบริษัท บีบีจีไอ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีกำลังการผลิตรวม 1.71 ล้านลิตรต่อวัน โดยไบโอดีเซล B100 มีกำลังการผลิตที่ 810,000 ลิตรต่อวัน และเอทานอล มีกำลังการผลิตที่ 900,000 ลิตรต่อวัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ สร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มโอกาสทางการเติบโตไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพอื่นๆ ที่มีมูลค่าสูงขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังของ ปี 2561 พร้อมปักธงจะขยายการลงทุนด้านธุรกิจชีวภาพในเขต EEC ภายใน 5 ปี

ส่วนธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและพัฒนาธุรกิจใหม่ จะพัฒนาธุรกิจนวัตกรรม และธุรกิจ Start up ผ่านศูนย์ Bangchak Initiative and Innovation Center (BIIC) ของบริษัท บางจากฯ โดยมุ่งเน้นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การบริหารจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีชีวภาพ โดยในปัจจุบันบริษัท บางจากฯ ได้ร่วมเป็นสมาชิกของ Plug & Play Tech Center เพื่อมองหา (Scout) ธุรกิจ Start up ที่น่าลงทุนจาก 3 แหล่งการลงทุนที่มีศักยภาพ ทั้ง Silicon valley ประเทศสหรัฐอเมริกา, TEL Aviv ประเทศอิสราเอล และประเทศจีน

ทั้งนี้ ในด้านการพัฒนาบุคลากรในองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม ได้จัดหลักสูตรอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารการเปลี่ยนแปลงองค์กรผ่าน Transformation Program ที่สอดคล้องกับค่านิยมองค์กร รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างความผูกพันบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานได้ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมทั้งในกระบวนการทำงาน เพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และสร้างความยั่งยืนให้กับองค์กร

บริษัท บางจากฯ ให้ความสำคัญต่อการดูแลสิ่งแวดล้อมและสังคมมาโดยตลอด รวมทั้งได้เข้าไปมีบทบาทในการดูแลชุมชนผ่านมูลนิธิออมสุขด้วยการนำนวัตกรรมไปพัฒนา เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร การจัดการคุณภาพสินค้าและการเพิ่มช่องทางการตลาด สร้างความเท่าเทียมให้กับผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เช่น การจ้างงาน และการส่งเสริมด้านการศึกษา และยังคงยึดแนวทางการพัฒนาธุรกิจที่สร้างสมดุลระหว่าง “คุณค่า” กับ “มูลค่า”ต่อไป