เอ็กโก กรุ๊ป ตั้งทีมศึกษาสร้างโรงไฟฟ้ารองรับความมั่นคงภาคใต้ ให้กระทรวงพลังงานและ กฟผ.พิจารณาเป็นทางเลือก ทดแทนกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เทพา ไม่สามารถดำเนินการได้ ทั้งการสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในพื้นที่โรงไฟฟ้าขนอม เพิ่มอีก 500-900 เมกะวัตต์ รวมถึงขยายโรงไฟฟ้าถ่านหินBLCP เฟส2 อีก1,000 เมกะวัตต์ โดยปี2561 เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว และโรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” ประเทศฟิลิปปินส์
นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด(มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดตั้งทีมงานขึ้นมาศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างโรงไฟฟ้ารองรับความมั่นคงไฟฟ้าภาคใต้ และทดแทนกรณีโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่และเทพา ไม่สามารถดำเนินการได้ โดยหากภาครัฐมีข้อสรุปการสร้างโรงไฟฟ้าภาคใต้ไปในแนวทางใด บริษัท ก็สามารถที่จะดำเนินการให้สอดคล้องได้ทันที
เบื้องต้นบริษัทฯได้จัดทำไว้ 3 ทางเลือก ได้แก่ 1. การสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ขนาด 500-900 เมกะวัตต์ ในพื้นที่โรงไฟฟ้าขนอม จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหลือจากการสร้างโรงไฟฟ้าขนอมทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่หมดอายุ โดยอาจใช้ก๊าซฯจากอ่าวไทยเป็นเชื้อเพลิง หากสามารถตกลงเจรจาซื้อจาก ปตท.เพิ่มได้ หรือแผนสำรองอาจจะเป็นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)จากต่างประเทศ ทั้งนี้คาดว่าโรงไฟฟ้าจากก๊าซ ดังกล่าวจะใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อเมกะวัตต์ ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3 ปี หรือ 3 ปีครึ่ง 2.การขยายโรงไฟฟ้าถ่านหิน BLCP เฟส 2 ที่จ.ระยอง ขนาดกำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้มีพื้นที่ก่อสร้างพร้อมและได้ศึกษารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)เสร็จแล้ว และ3.โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวล เนื่องจากภาคใต้วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรพอสมควร เช่น เศษไม้ ไม้ยาง เป็นต้น แต่ต้องศึกษาศักยภาพว่าจะสามารถหาเชื้อเพลิงมาผลิตได้เท่าไหร่ โดยต้องสามารถใช้ผลิตไฟฟ้าให้ได้ 20-25 ปี อย่างไรก็ตาม พลังงานทดแทนจะไม่สามารถผลิตได้ถึง 900 เมกะวัตต์ หรือทดแทนโรงไฟฟ้าหลักได้
แนวทางทั้งหมดที่บริษัทศึกษา จะเป็นทางเลือกเสนอกระทรวงพลังงานและ กฟผ. ต่อเมื่อภาครัฐได้ข้อสรุปชัดเจนเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าภาคใต้ เสียก่อน รวมทั้งต้องรอให้การจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาว หรือ PDP ฉบับใหม่เสร็จเรียบร้อยก่อน เ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ ได้ทราบว่าภาครัฐจะเดินหน้าโรงไฟฟ้าในลักษณะใด เพื่อที่บริษัทฯจะได้มีความพร้อมยื่นข้อเสนอสร้างโรงไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความต้องการของภาครัฐ
นายจักษ์กริช กล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ พร้อมประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนขนาดเล็กมาก(VSPP) ซึ่งขณะนี้รอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)ออกประกาศเปิดรับสมัครอยู่ ซึ่งข้อกำหนดการเป็นโรงไฟฟ้า VSPP คือ ต้องผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้บริษัทฯอยู่ระหว่างหารือกับผู้ร่วมทุนว่าจะกระจายสร้างที่ไหนบ้าง
นายจักษ์กริช ยังกล่าวถึง ผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ป ในปี 2560 ด้วยว่า ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 11,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 3,497 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 42 โดยคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ เท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2560 ในอัตราหุ้นละ 7 บาท
สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2561 เอ็กโก กรุ๊ป ได้เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 12,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และ “น้ำเทิน 1” สปป.ลาว และโรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2562 และ 2565 ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวยังไม่นับรวมโครงการใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ปากแบง” สปป.ลาว โรงไฟฟ้า “สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย (หน่วยที่ 3 และ 4)” ประเทศอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้า “กวางจิ” ประเทศเวียดนาม