มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ได้จัดงาน CMKL Dinner Symposium ณ โรงแรมมิลเลนเนียมฮิลตัน ภายใต้หัวข้อการจัดการวิกฤตโลกด้วยปัญญาประดิษฐ์เพื่อเตรียมพร้อมอนาคตที่ยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย  นายกสภามหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล เป็นประธานกล่าวเปิดพิธี พร้อมทั้งคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน มาร่วมเป็นวิทยากรแบ่งปันองค์ความรู้ในงาน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา

วัตถุประสงค์ของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อเป็นเวทีกลางให้ได้พบปะแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน พร้อมทั้งสร้างแรงกระตุ้นเครือข่ายด้านการวิจัยระหว่างคณาจารย์ นักวิจัย นักวิชาการ และนักศึกษาของมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอลกับผู้นำหน่วยงานภายนอก ให้มีโอกาสถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ กันในหัวข้อ Prepare for Sustainable Future: Tackling World Crises through Artificial Intelligence “เตรียมพร้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน: จัดการกับวิกฤตโลกด้วยปัญญาประดิษฐ์”

ทั้งนี้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมฟังหัวข้อเสวนาพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญจากสาขาต่างๆ รวมตัววิทยากรทั้งภาคเอกชนและภาคการศึกษาระดับโลก จากหลากหลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็น NVIDIA, IBM, Microsoft และอื่นๆ เกี่ยวกับแนวทางจัดการกับวิกฤตด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างยั่งยืนให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก นอกจากนี้งานประชุมวิชาการนี้ได้เน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอลที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ที่มีพันธกิจส่งเสริมและสนับสนุนคณาจารย์ นักวิจัย บุคคลากร และนักศึกษาให้มีสมรรถนะในการทำวิจัยที่สร้างสรรค์และมีความคุณภาพ เพื่อก่อให้เกิดประโยนช์แก่สาธารณชนในวงกว้าง

สำหรับมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล เป็นมหาวิทยาลัยที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาชั้นนำด้านเทคโนโลยี ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน สหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2560 ปัจจุบัน เปิดการเรียนการสอนทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกด้านเทคโนโลยี ครอบคลุมทั้งเรื่อง AI, Blockchain, Data Analytics, Cyber Security โดยใช้หลักสูตรและแนวทางการจัดการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคาร์เนกี เมลลอน มีเป้าหมายในการช่วยสร้างคอมมูนิตี้และเพิ่มความสามารถทางเทคโนโลยีให้แก่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านงานวิจัยและนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด “Enabling Endless Possibilities”