นายกรศิษฎ์ ภัคโชตานนท์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แถลงนโยบายดำเนินงานในโอกาสรับตำแหน่งผู้ว่าฯ กฟผ.คนใหม่เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ว่า นโยบายที่ กฟผ.จะดำเนินการคือการสร้างความมั่นคงของระบบผลิตไฟฟ้าโดยในเดือนตุลาคมนี้ กฟผ.เตรียมที่จะเสนอคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพื่อที่จะปรับแผนเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ให้เป็น 50% ตามนโยบายของ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ควบคู่ไปกับการสร้างโรงไฟฟ้าที่จะมุ่งเน้นพลังงานทดแทนควบคู่ไปกับโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อถ่วงดุลเชื้อเพลิง ธรรมชาติและรักษาอัตราค่าไฟฟ้าที่ประชาชนยอมรับได้
นายกรศิษฎ์กล่าวว่า กฟผ.คาดหวังว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่และเทพาจะยังคงเดินหน้าได้โดยเฉพาะโรงไฟฟ้ากระบี่ที่ภายในไม่เกินก.ย.นี้ คณะกรรมการไตรภาคีคงจะมีข้อสรุปได้ ขณะที่เทพา กฟผ.ก็ได้เตรียมร่างเงื่อนไข (TOR) เพื่อเปิดประมูลก่อสร้างโรงไฟฟ้าคู่ขนานกันไปก่อนเพื่อที่จะให้ทุกอย่างเสร็จได้ทันกำหนดเอาไว้
นอกจากนี้กฟผ.ยังต้องการให้ภาครัฐเร่งสรุปกรณีที่บริษัทกัลฟ์ เอ็นเนอร์ยี ดีเวลลอปเมนท์ ชนะประมูลโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตเอกชนรายใหญ่ (IPP) รวม 5,000 เมกะวัตต์ว่าจะเดินหน้าหรือไม่อย่างไร ซึ่งตามกำหนดเดิมจะทยอยเข้าระบบปี 2564-68 ภายในเดือน ก.ค.2559 นี้ เพื่อที่จะทำให้ กฟผ.สามารถตัดสินใจสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงรองรับโรงไฟฟ้าของกัลฟ์ได้ทัน ซึ่งจะต้องลงทุนรวม 2 เฟส วงเงิน 7,250 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ถือว่าล่าช้าแล้ว